#TrueEPL
พรีเมียร์ลีก 2019-20…ที่สุดเลยเว้ย! (แก)
ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งในใจของทุกคนก็ยังคงเป็นศึกลูกหนัง “พรีเมียร์ลีก” เสมอ เพราะไม่เพียงแต่จะผูกพันกันผ่านวันเวลาที่ยาวนานหลายสิบปี ในเชิงของความบันเทิงและคุณภาพแล้วพรีเมียร์ลีกคืออันดับหนึ่งของโลกอย่างแท้จริง สมกับคำนิยาม The Greatest Show on Earth
แต่ก่อนที่ #matchweek1 จะเริ่มต้นขึ้นในคืนวันศุกร์นี้ในคู่ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รองแชมป์เก่าปะทะ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” นอริช ซิตี้ ทีมน้องใหม่ที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดี ในเวลา 02.00 น. (ชมได้ทางช่อง True Premier Football 1 และ True Premier Football 2) และยังมีเกมบิ๊กแมตช์ระดับ 5 ดาวตั้งแต่สัปดาห์แรกในเกมระหว่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี
ลองมาดูกันว่าทำไมพรีเมียร์ลีก 2019-20 ในปีนี้ถึงจะเป็น “ที่สุดเลยเว้ย” (แก)
1) Let’s talk about (Top) Six, Baby
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกตื่นเต้นกว่าใครคือการที่มีทีมระดับท็อปถึง 6 ทีม มากกว่าลีกอื่นทุกลีก และในปีนี้บรรดาทุกทีมไม่ว่าจะเป็น “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้, “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล, “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์, “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี, “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล และ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูทรงแล้วไม่มีใครยอมใครอย่างแน่นอน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้: แชมป์เก่าพวกเขาปรับทัพเล็กด้วยการดึงโรดรี กองกลางห้องเครื่องอนาคตไกลมาเพื่อทดแทนแฟร์นันดินโญ ซึ่งจะถูกปรับบทเป็นตัวสำรองหรือเป็นกองหลังทดแทนการขาดหายของกัปตันทีมแว็งซองต์ กอมปานีย์ นอกจากนี้ยังได้ เจา กานเซโล่ แบ็กขวาจากยูเวนตุสมาทดแทนดานิโล่ ที่ย้ายสลับขั้วกันไป ดังนั้งต้องบอกว่าแมนฯ ซิตี้ ใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบ และบอกได้เลยว่าปีนี้เป๊ป หวังคว้าแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันแน่นอน
ลิเวอร์พูล: ถึงจะไม่มีการเสริมทัพใหญ่แม้แต่รายเดียวเพราะมั่นใจในทีมชุดที่คว้ารองแชมป์ประวัติศาสตร์ 97 คะแนน โดยมีนักเตะใหม่เพียงดาวรุ่งอย่าง เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ ฮาวีย์ เอลเลียต กับ อาเดรียน นายทวารสำรองที่มาทดแทนไซมอน มินโญเลต์ แต่ในฤดูกาลนี้เยอร์เก้น คล็อปป์ หมายมั่นปั้นมือกับขุมกำลังที่ยังไม่ได้ปล่อยพลังเต็มที่หลายรายเมื่อปีที่แล้วอย่างเช่น นาบี เกอิต้า, อเล็กซ์-อ๊อกซ์เลด แชมเบอร์เลน, โจ โกเมซ รวมถึงริอาน บรูวสเตอร์ ไอ้หนูมหัศจรรย์ที่น่าจับตามอง และจากฟอร์มในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์แล้ว ใครจะบอกหงส์ไม่พร้อมก็ประมาทไป
สเปอร์ส: เป็นปีที่ “ไก่เดือยทอง” ซื้อโหดเหมือนโกรธใครมา ความจริงก็คือโกรธนั่นแหละจากการที่ปีที่แล้วไม่มีนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทีมแม้แต่รายเดียวทำให้ผลงานของทีมสะดุดไม่สามารถบี้กับแมนฯ ซิตี้และลิเวอร์พูลได้ ซึ่งจนถึงตอนนี้พวกเขากำลังจะได้นักเตะของดีมีเกรดอย่างโจวานนี โล เซลโซ, เปาโล ดีบาลา, ไรอัน เซสเซยอง มารวมกับ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล, แจ็ค คลาร์ก ที่ได้ตัวมาก่อนหน้านี้ เมื่อรวมกับของเดิมอย่าง แฮร์รี เคน, ซอน เฮือน-มิน, เดเล อัลลี – ปีนี้ต้องลุ้นแชมป์เต็มๆแล้ว
เชลซี: เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับสิงห์บลูส์เพราะนอกจากจะถูกลงโทษห้ามซื้อผู้เล่น 1 ปี ยังเสียสตาร์หมายเลขหนึ่งอย่าง เอเดน อาซาร์ไป และมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมใหม่จากเมาริซิโอ ซาร์รี เป็นแฟรงค์ แลมพาร์ด ตำนานสโมสรที่ขอกลับมาช่วยทีมอีกครั้ง แต่ทัพนักเตะเดิมของเชลซีไม่ถือว่าขี้เหร่ ยังมีน้องใหม่อย่าง คริสเตียน พูลิซิช หนึ่งในดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดของยุโรป หากแลมพาร์ดรวมใจทีมได้ โอกาสจะกลับมาเปรี้ยงก็ใช่ไม่มี
อาร์เซนอล: ปีที่ 2 ของยุคหลังอาร์แซน เวนเกอร์ ในช่วงปิดฤดูกาลนี้ “ปืนใหญ่” เป็นทีมที่มีข่าวฮือฮาเรื่องการหานักเตะมากที่สุด และพวกเขาก็ทำให้แฟนๆต้องตื่นเต้นเมื่อคว้า นิโกลาส์ เปเป้ ดาวยิงเนื้อหอมของลีลล์มาครอง ซึ่งจะผนึกกำลังกับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยัง ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกเมื่อปีที่แล้ว และอเล็กซองด์ ลากาแซตต์ กลายเป็น Deadly Trio ที่น่าเกรงขามที่สุด ขณะที่เกมรับที่เป็นจุดอ่อนก็กำลังจะได้ดาวิด ลุยซ์มา เรียกไม่ใช่เล่นๆเลยสำหรับทีมของอูไน เอเมรี่
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด: ปีแห่งการฟื้นฟูทีมอย่างจริงจังสำหรับ “ปีศาจแดง” หลังล้มเหลวมา 2 ปีติด ทำให้มีการเคลื่อนไหวที่น่าตื่นเต้นด้วยการคว้าตัวนักเตะใหม่อย่าง ดาเนี่ยล เจมส์ ปีกจรวดจากสวอนซี, อารอน วาน-บิสซาก้า แบ็กขวาดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง และที่เปรี้ยงที่สุดคือการได้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังที่ดีที่สุดของอังกฤษในเวลานี้มาด้วยค่าตัวทุบสถิติโลกของกองหลัง 80 ล้านปอนด์ ด้วยนักเตะใหม่บวกขุมกำลังเดิม และการเตรียมทีมแบบเต็มที่จริงๆของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ปีนี้พวกเขาอาจจะมองไกลกว่าแค่การกลับมาท็อปโฟร์
นอกจากทีม Top 6 แล้วอีกหลายทีมก็เสริมทัพได้อย่างน่าดูชม ไม่ว่าจะเป็น แอสตัน วิลล่า ทีมน้องใหม่แต่หน้าเก่าที่ซื้อผู้เล่นถึง 12 คน (ตั้งได้อีกทีมแล้ว!) หรือเอฟเวอร์ตัน ที่ปีนี้ก็ยังสอยสตาร์เข้ามาเสริมทัพอีกเพียบ
2) VAR มาแล้ว
ในที่สุดระบบ Video Assistant Referee หรือ VAR ก็เดินทางมาถึงพรีเมียร์ลีกจนได้ ซึ่งแม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันมากในเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้ว VAR ช่วยให้การตัดสินถูกต้องแม่นยำขึ้น หรือทำให้เกิดเรื่องดราม่ามากกว่าเดิม (เหมือนในหลายรายการที่ผ่านมา) แต่เชื่อได้ว่าระบบนี้จะเป็นหนึ่งในสีสันที่อาจถึงขั้นพลิกโฉมหน้าของพรีเมียร์ลีกไปตลอดกาลเลยก็ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่แฟนบอลที่ไม่ชินกับ VAR วางใจได้คือทางพรีเมียร์ลีกยืนยันว่า VAR จะไม่ถูกนำมาใช้พร่ำเพรื่อและหยุมหยิม เพื่อไม่ให้อรรถรสในการชมเสียไป
3) Winter is coming!
หนึ่งในเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในพรีเมียร์ลีก หรือฟุตบอลอังกฤษเลยก็คือการพักเบรกในช่วงฤดูหนาว หรือที่เรียกกันว่า Winter Break ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกชั้นนำอื่นๆเขามีกันหมด แต่ลีกอังกฤษไม่เคยมีด้วยยึดมั่นในธรรมเนียมการแข่งขันช่วง Festive ตั้งแต่ Boxing Day ไปจนถึงหลังวันปีใหม่
แต่หลังโดนทักท้วงมาเยอะในเรื่องของสภาพร่างกายนักฟุตบอลที่กรอบเป็นข้าวเกรียบ ในปีนี้พรีเมียร์ลีกอนุญาตให้มีการพักเบรกในช่วงฤดูหนาวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์! เพียงแต่จะไม่ได้ปิดพักหนีหนาวในช่วงปลายปีแบบชาวบ้านเขา โดยจะไปหยุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์แทน และก็ไม่ได้หยุดพร้อมหน้ากันหมด เพราะจะสลับกันหยุดทีละ 10 ทีม แต่ละทีมจะได้พัก 2 สัปดาห์ เพื่อจะได้ยังมีโปรแกรมฟุตบอลให้ดูต่อเนื่องไม่ขาดตอน
4) เทรนด์ใหม่ ยุคนี้ต้องดาวุร่ง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 1-2 ปีที่ผ่านมาคือยุคทองของดาวรุ่งอังกฤษอย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะเกิดเทรนด์ใหม่ที่สโมสรต่างชาติมาคว้าตัวดาวรุ่งในพรีเมียร์ลีกไปเจียระไนจากดินให้กลายเป็นดาว เหมือนรายของ จาดอน ซานโชแลล้ว แต่ละสโมสรก็หันมาโฟกัสกับเรื่องของการปั้นดาวรุ่งขึ้นมาเพื่อทดแทนการจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อซูเปอร์สตาร์ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
การได้ติดตามฟอร์มของนักเตะดาวรุ่งก็เป็นความสนุกอย่างนึง โดยเฉพาะหากเป็นแฟนของทีมนั้นๆจะฟินมากเป็นพิเศษ ดังนั้นแฟนผีแดงเองก็ต้องลุ้นกับ เมสัน กรีนวูด, อังเดร โกเมซ ขณะที่แฟนหงส์ก็มีดาวน่าจะเด่นอย่างริอาน บรูวสเตอร์, คิ-ยานา ฮูเวอร์, แฟนเรือใบ ต้องใส่ใจฟิล โฟเดน, แฟนสิงห์ก็มี คัลลัม-ฮัดสัน โอดอย หรือแฟนปืนมี รีส นีลสัน ว่านักเตะเหล่านี้จะเกิดได้ไหม?
5) พรีเมียร์ลีกแบบ OMNI Channel
กระแสโลกยุคใหม่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก เมื่อพรีเมียร์ลีกกลับมาอยู่ในมือของ “ทรูวิชั่นส์” อีกครั้งจึงมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ชมทั้งในแบบออฟไลน์และออนไลน์ถึง 20 ล้านคนผ่านทุกแพลตฟอร์มของทรู โดยนอกจากการถ่ายทอดสด ยังมีรายการอีกมากมายทั้งก่อนและหลังเกม รวมถึงสีสันต่างๆให้ติดตามด้วย
ไม่ว่าอยากจะดูชัดๆบนจอใหญ่ (ดูแบบ 4K ก็ยังมีเหมือนเดิม!) หรืออยากจะดูที่ไหนก็ดูได้ผ่านมือถือก็ได้ทั้งนั้น
ง่ายๆแค่เพียง
*สมัครแพ็กเสริมใหม่ ทรู พรีเมียร์ ฟุตบอล เอชดี พลัส ดูครบ ราคาปกติ 399 บาท/เดือน
*วันนี้ราคาพิเศษ!! สมัคร ทรูวิชั่นส์ แพลทินัม ดูฟรี 3 ฤดูกาล, โกลด์ สมัครแค่ 199 บาท/เดือน, แพ็กอื่นๆ 299 บาท/เดือน
*ใช้เบอร์ทรูมูฟเอช กด *482*299*เลขสมาร์ทการ์ด# โทรออก
*หรือโทร 1242 เพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/2GMfrYQ
พูดมาขนาดนี้ พร้อมจะลุยกันหรือยัง? 🙂
#ทรูพรีเมียร์ลีก #เต็มทุกอารมณ์ #TrueEPL #สดทุกจุดสุดทุกจอ #Truevisions
RED ARMY FANCLUB
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC